จุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด มาจากการนั่ง การยืนเป็นเวลานาน ซึ่งการนั่ง การยืนล้วนเป็นหนึ่งปัจจัยทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี เกิดแรงดันภายในหลอดเลือดดำ ซึ่งเส้นเลือดขอดเกิดจากเส้นเลือดและขั้วเปิด-ปิดในเส้นเลือดไม่สมบูรณ์ เสื่อมสภาพ จึงเกิดการคั่งของเส้นเลือด
ปกติขณะที่หัวใจสูบฉีดส่งเลือดแดงเลี้ยงอวัยวะในร่างกาย จะมีเลือดที่ใช้ออกซิเจนหมดแล้วขึ้นกลับไปฟอกใหม่ ซึ่งเส้นเลือดในบางเส้นที่ไม่มีความแข็งแรงจะไม่สามารถส่งเลือดกลับไปได้ตามปกติ จึงมีการคั่งของเลือด ทำให้เส้นเลือดขอดอาจมีลักษณะเป็นเส้นสีแดง สีม่วง และสีเขียวตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย
ปัจจัยที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด
- จากฮอร์โมนเพศ ซึ่งพบได้ว่าเพศหญิงมีโอกาสเป็นมากกว่าเพศชาย
- จากการทำงานที่ต้องยืน เดิน นาน ๆ เช่น พนักงานขายสินค้า พนักงานเก็บค่าโดยสาร แอร์โฮสเตรส
- จากกรรมพันธุ์ ซึ่งพบว่ามีประวัติคนในครอบครัวเป็นเส้นเลือดขอด
- การมีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป คนที่น้ำหนักมากเลือดจะหมุนเวียนได้ไม่สะดวก จะเกิดการคั่งของเลือดบริเวณขามากขึ้น ทำให้เกิดหลอดเลือดขอดได้มาก
- จากการใส่รองเท้าส้นสูง ซึ่งจะทำให้เลือดหมุนเวียนได้ไม่ดี
- จากอายุที่เพิ่มมากขึ้น จะเป็นหลอดเลือดขอดเพิ่มขึ้น เนื่องจากความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของลิ้นหลอดเลือดลดน้อยลง
ทำไมต้องให้ความสำคัญกับเส้นเลือดขอด เนื่องจากว่าเป็นโรคที่หลายคนคิดว่าไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อการดำเนินชีวิต แต่ความจริงแล้ว หากเราปล่อยให้เส้นเลือดขอดอยู่กับเราไปนาน ๆ คุณอาจจะต้องทุกข์ทรมานกับอาการปวดจนถึงขั้นไม่สามารถที่จะยืน หรือเดินได้ หรือในบางรายเป็นมากจนถึงขั้นเส้นเลือดแตกได้
ที่ต้องให้ความสำคัญกับเส้นเลือดขอด เนื่องจากว่าความรุนแรงของเส้นเลือดขอดนั้นมีความรุนแรงถึง 3 ระดับ ดังนี้
- เส้นเลือดขอดแบบฝอย แตกเป็นเส้นเล็ก ๆ (Spider Veins) เป็นเส้นเลือดขอดที่มีความรุนแรงน้อยที่สุด ลักษณะเป็นแพแบบเส้นใยแมงมุม อยู่ตื้นมองเห็นคล้ายใยแมงมุม มีขนาดเล็กสีม่วง หรือแดง บางรายแทบไม่มีอาการเจ็บ ปวด หรือเมื่อยล้าบริเวณที่เป็น
- เส้นเลือดขอดขนาดกลาง (Reticular veins) ลักษณะของเส้นเลือดจะโป่งพองออกมาไม่มาก แต่พอสังเกตเห็นได้
- เส้นเลือดขอดโป่งพองขนาดใหญ่ (Varicose Veins) เส้นเลือดลักษณะนี้สังเกตเห็นได้ค่อนข้างชัด เพราะเส้นเลือดจะโป่งนูนออกมาเป็นขด ๆ ชัดเจน เกิดจากผนังเส้นเลือดบาง ทำให้เส้นเลือดพองและขดเป็นหยักอาจมีสีเขียวผสมม่วง เมื่อเกิดขึ้นจะมีอาการเมื่อยล้า เจ็บปวดบริเวณเส้นเลือดขอด ซึ่งถือว่าอยู่ในขั้นที่ต้องรักษา เพราะเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นตามมาได้
วิธีการรักษาอาการเส้นเลือดขอด
- เส้นเลือดขอดแบบฝอย แพทย์จะทำการรักษาโดยการฉีดสารเคมีเข้าสู่เส้นเลือดดำ (Sclerotherapy) เพื่อให้เส้นเลือดฝ่อ และตีบลง
- เส้นเลือดขอดขนาดใหญ่ แพทย์จะทำการรักษาด้วยการฉีดโฟม (Foam Sclerotherapy) เนื่องจากโฟมมีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดขอดเกิดการอักเสบ จากนั้นร่างกายจะมีกลไกจัดการทำลายเส้นเลือดขอด และทำให้เส้นเลือดขอดค่อยๆจางลงแล้วหายไป
- เส้นเลือดขอดขนาดใหญ่ ที่มีการรั่วของหลอดเลือด แพทย์จะทำการรักษาด้วยวิธีดลื่นวิทยุความถี่สูง Radio Frequency Ablation (RFA) โดยใช้เวลาในการรักษาประมาณ 30 นาที หลังการรักษาเส้นเลือดขอดจะยุบลงประมาณ 50% และอีกใน 6 – 8 สัปดาห์ จะยุบตัวลงอีก 90 – 100%
การดูแลตัวเองหลังทำการรักษาเส้นเลือดขอด
- ท่านจะต้องควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
- ท่านไม่ควรนั่ง ยืน หรือเดินเป็นเวลานาน ๆ ควรเปลี่ยนท่าทางอิริยาบถบ่อบ ๆ หรือทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง
- หลังทำการรักษาเส้นเลือดขอดมาแล้ว ท่านควรออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อให้ขาได้เคลื่อนไหวและทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก
- หลังทำการรักษา 1 สัปดาห์ ท่านไม่ควรยกของหนัก และการยืนนาน ๆ และใส่ผ้ายืดหรือซัพพอร์ต 1 – 3 สัปดาห์หลังการรักษา
- ระหว่างวันควรหาเวลาพักขาโดยยกขาพาดให้สูง และตอนกลางคืนควรนอนยกขาสูงกว่าระดับหัวใจ
ภาวะแทรกซ้อนของเส้นเลือดขอด
- มีลิ่มเลือด กรณีที่เกิดลิ่มเลือดแถวหลอดเลือดที่อยู่ใกล้ผิวหนังมาก ๆ อาจนำไปสู่การอักเสบของผนังหลอดเลือดดำจนมีอาการเจ็บ ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดง หรือทำให้รู้สึกร้อน
อาการนี้สามารถรักษาได้ด้วยการใส่ถุงน่องรัดเช่นเดียวกับการรักษาเส้นเลือดขอด และบางครั้งแพทย์อาจให้รับประทานยาลดอาการบวมอักเสบ เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
- มีเลือดออกเส้นเลือดขอดที่อยู่ใกล้ผิวหนังอาจทำให้มีเลือดออกหากเกิดการกระทบที่แผล ซึ่งเลือดที่ออกมานี้อาจจะหยุดไหลได้ยาก
วิธีรักษาเบื้องต้นควรนอนลงแล้วยกขาขึ้น จากนั้นกดแผลไว้ให้เลือดหยุดไหล และหากเลือดยังคงไหลอย่างต่อเนื่องให้รีบไปพบแพทย์ทันที
บทสรุป
เส้นเลือดขอดเกิดจากอะไร เป็นความปกติของหลอดเลือดดำบริเวณใกล้ชั้นผิวหนังที่ขยายตัวบวมออกมา และมีเลือดมาสะสมมากจนเห็นเป็นเส้นเลือดสีฟ้าหรือม่วงเข้ม ส่วนมากมักจะเป็นที่ขา เนื่องจากมีการยืน เดิน หรือนั่งเป็นเวลานาน เมื่อเกิดขึ้นถึงขั้นรุนแรงท่านต้องรีบพบแพทย์ เพื่อเข้ารับคำปรึกษาและวิธีรักษาที่ถูกต้อง