เส้นเลือดขอดขา เป็นการขอดตัวของหลอดเลือดดำที่ขาส่วนที่อยู่ตื้นใต้ผิวหนัง มักเริ่มเป็นที่บริเวณน่องโดยไม่มีอาการใด ๆ เส้นเลือดขอดที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ประมาณ 0-5 มิลลิเมตร จะมีลักษณะเหมือนใยแมงมุม มักมีสีแดง สีเขียว หรือสีม่วง ส่วนเส้นเลือดขอดที่มีขนาดอยู่ระหว่าง 1-3 มิลลิเมตร มักมีลักษณะเป็นเส้นสีเขียวใต้ผิวหนัง จัดเป็นเส้นเลือดขอดในระยะเริ่มต้น
เส้นเลือดขอดที่ขา เกิดจากอะไร
สาเหตุของการเกิดเส้นเลือดขอดขา อาจมาจากการเสื่อมประสิทธิภาพของลิ้น (Valve) ที่มีในหลอดเลือดดำของขา ทำให้การไหลเวียนของเลือดดำเสียไป เกิดการคั่งของเลือดดำในหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดดำยืด ขยายตัว ตัวโป่งพอง และขดไปมา
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดขอดที่ขา ได้แก่
- อายุ ยิ่งอายุมากขึ้น โอกาสเกิดโรคยิ่งสูงขึ้นจากการเสื่อมประสิทธิภาพของลิ้นในหลอดเลือดดำ
- เพศ เพศหญิงมีโอกาสเกิดโรคสูงกว่าเพศชาย
- หญิงตั้งครรภ์
- น้ำหนัก ผู้ที่มีน้ำหนักมาก จะยิ่งมีโอกาสเป็นเส้นเลือดขอดที่ขา
- พันธุกรรม พบโรคได้สูงขึ้นในคนมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้
- อาชีพ อาชีพที่ต้องยืนนาน ๆ หรือนั่งนาน ๆ ทั้งวัน
- ขาดการออกกำลังกาย จะส่งผลให้กล้ามเนื้อขาเสื่อมประสิทธิภาพ ซึ่งกล้ามเนื้อขาถือเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยพยุงหลอดเลือดดำขา ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดของขา
- เราจะป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอดที่ขาได้อย่างไร
- หลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งเป็นเวลานาน ๆ ให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ
- หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้า กางเกง ถุงเท้า หรือถุงน่องที่รัดมาก ๆ เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวก
- ไม่ใส่รองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน
- ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรง การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ความรุนแรงของเส้นเลือดขอด มี 3 ระดับ
1.เส้นเลือดขอดแบบฝอย แตกเป็นเส้นเล็ก ๆ (Spider Veins) ลักษณะเป็นแพแบบเส้นใยแมงมุม อยู่ตื้นมองเห็นคล้ายใยแมงมุม มีขนาดเล็กสีม่วง หรือแดง เป็นเส้นเลือดขอดที่มีความรุนแรงน้อยที่สุด บางรายแทบไม่มีอาการเจ็บ ปวด หรือเมื่อยล้าบริเวณที่เป็น
2.เส้นเลือดขอดขนาดกลาง (Reticular veins) ลักษณะของเส้นเลือดจะโป่งพองออกมาไม่มาก แต่พอสังเกตเห็นได้
3.เส้นเลือดขอดโป่งพองขนาดใหญ่ (Varicose Veins) เกิดจากผนังเส้นเลือดบาง ทำให้เส้นเลือดพองและขดเป็นหยักอาจมีสีเขียวผสมม่วง ซึ่งสังเกตเห็นค่อนข้างชัด เพราะเส้นเลือดจะโป่งนูนออกมาเป็นขด ๆ ชัดเจน และมีอาการเมื่อยล้า เจ็บปวดบริเวณเส้นเลือดขอด ซึ่งถือว่าอยู่ในขั้นที่ต้องรักษา เพราะเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นตามมาได้
อาการของเส้นเลือดขอดที่ขา มีอะไรบ้าง
เส้นเลือดขอดที่ขามักเริ่มปรากฏที่น่องเป็นบริเวณแรก โดยที่ผู้ป่วยไม่มีอาการใด ๆ เมื่อสังเกตดูจะเห็นเส้นเลือดโป่งพองนูนออกและขดไปมา บางรายอาจรู้สึกเมื่อยล้า ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยยืนหรือนั่งเป็นเวลานาน ขาและเท้าบวม หรือเป็นตะคริวในตอนกลางคืน
เส้นเลือดขอดที่ขาที่เป็นอยู่นานอาจเกิดปัญหาแทรกซ้อนตามมา ส่วนมากจะเป็นการอักเสบของตัวเส้นเลือดขอดเอง นอกจากนี้ยังอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดขาอุดตันได้
วิธีการรักษา
- เส้นเลือดขอดแบบฝอย รักษาโดยฉีดสารเคมีเข้าสู่เส้นเลือดดำ (Sclerotherapy) เพื่อให้เส้นเลือดฝ่อ และตีบลง
- เส้นเลือดขอดขนาดใหญ่ รักษาด้วยการฉีดโฟม (Foam Sclerotherapy) เพราะโฟมมีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดขอดเกิดการอักเสบ จากนั้นร่างกายจะมีกลไกจัดการทำลายเส้นเลือดขอด และทำให้เส้นเลือดขอดค่อย ๆจางลงแล้วหายไป
- เส้นเลือดขอดขนาดใหญ่ ที่มีการรั่วของหลอดเลือด รักษาด้วยวิธีคลื่นวิทยุความถี่สูง Radio Frequency Ablation (RFA) ใช้เวลาในการทำประมาณ 30 นาที หลังการรักษาเส้นเลือดขอดจะยุบลงประมาณ 50% และอีกใน 6-8 สัปดาห์ จะยุบตัวลงอีก 90-100%
หลังจัดการเส้นเลือดขอด ควรปฏิบัติ
- งดยกของหนัก หรือยืนนาน ๆ เป็นเวลา 3-7 วัน
- ควรใส่ผ้ายืด หรือซัพพอร์ทในบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อประคองกล้ามเนื้อและเส้นเลือดบริเวณนั้น ส่วนระยะเวลาที่ใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของเส้นเลือด โดยเส้นเลือดเล็กฝอยให้ใส่ 1-3 วัน ส่วนเส้นเลือดขอดขนาดกลาง (ขนาดเท่าไส้ปากกา) ควรใส่อย่างน้อย 7 วัน ขึ้นไป
- ควรออกกำลังกายด้วยการเดินทุกวัน เพื่อกระตุ้นให้ยากระจายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ผลที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- ควรพบแพทย์ตามนัดภายใน 2 – 4 สัปดาห์ เพื่อแพทย์จะได้ติดตามผลการรักษา